ฤาษีผู้แยบยล สอนกล(ยุทธ์)ด้วยมดขาเป๋ A Hermit and A Lame Ant - นิทาน(ฉัน)แต่งใหม่
ณ ป่ารกชัฎ(Forest)และกว้างใหญ่แห่งหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งในอดีตกาล พระอาจารย์ฤาษี(Hermit)ตนหนึ่งพร้อมกับบรรดาลูกศิษย์ที่บำเพ็ญเพียรศีลอยู่ในป่าแห่งนั้น ด้วยกาลเวลาที่ฤาษีทั้งหมดได้เข้ามาอยู่ด้วยกันในป่าด้วยความปรารถนาอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(Purpose)ก็คือ การค้นหาความหลุดพ้นจากความวุ่นวายในการครองเรือน การใช้ชีวิตเช่นคนธรรมดาสามัญทั่วๆไป
ต่อมาวันหนึ่ง บรรดาฤาษีผู้เป็นลูกศิษย์(Disciples)ทั้งหลายก็ได้เดินทางเข้าพบกับพระอาจารย์ ณ บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ฤาษีตนหนึ่งจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
"พระอาจารย์ เราต่างเข้ามาอยู่ในป่าแห่งนี้เพื่อค้นหาความหลุดพ้นกันเป็นเวลานานนับหลายๆปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเราจะพบหนทางแห่งความสว่างของการหลุดพ้นใดๆเลย"
"ดังนั้นที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเข้ามาพบพระอาจารย์ในวันนี้ ก็เพื่อจะบอกกับท่านว่า พวกข้าพเจ้าทั้งหมดนี้อยากจะกลับไปสู่บ้านเกิดเมืองนอน(Home town)และใช้ชีวิตเช่นสามัญชนคนปกติทั่วไป(Ordinary Man)จะดีกว่าล่ะกระมังท่าน"
"จงช้าก่อนท่านทั้งหลาย การบำเพ็ญเพียรนั้นต้องใช้เวลาและความอดทนพากเพียรเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตา จับต้องได้ด้วยมือ แต่เราจะรับรู้มันได้ด้วยจิตวิญญาณเท่านั้น"
"ในเมื่อเราได้ตัดสินใจออกมาอยู่ในป่าดงพงไพรด้วยกันเช่นนี้แล้ว ไฉนเลยท่านจะย้อนกลับเข้าไปสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยกิเลสตัญหาอย่างนั้นอีกหรือ"
พระฤาษีกล่าวขอร้องบรรดาลูกศิษย์ให้อยู่ต่อด้วยกันในป่าตามเดิม
"พระอาจารย์โปรดชี้แนะด้วย ก็ในเมื่อท่านกล่าวว่า ต้องใช้ความเพียรพยายาม(Perseverance)จึงจะประสบความสำเร็จ(Success)นั้น ก็พวกข้าพเจ้าทั้งหลายต้องมาอยู่กลางดิน กินกลางป่านานนับหลายขวบปีเช่นนี้ พระอาจารย์ว่าความเพียรเหล่านี้ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดอีกกระนั้นหรือ"
ฤาษีผู้เป็นลูกศิษย์ตนหนึ่งปรารถขึ้นด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง
"เราตอบท่านไม่ได้หรอกว่าความสิ้นสุดแห่งความเพียรนั้นมันอยู่ตรงไหนกัน แต่เราจะพิสูจน์ให้พวกท่านได้ดูกันว่า ความเพียรของมดตัวที่ท่านเห็นอยู่ต่อหน้าเรานี้นั้นมันมีความพยายามมากน้อยเช่นไรกัน"
พระฤาษีกล่าวพลางชี้ไปที่มดขาเป๋ตัวหนึ่งซึ่งกำลังเดินลากขาของมันผ่านมาทางด้านหน้าของฤาษีผู้เป็นอาจารย์พอดี
"เอาหล่ะ จงดูหยดดน้ำผึ้งที่ปลายกิ่งไม้เล็กๆอันนี้ให้ดี เราจะวางมันไว้ทางด้านซ้ายของเจ้ามดขาเป๋ตัวนี้ ซึ่งเราจะเว้นระยะห่างไว้สักประมาณสองศอกก็แล้วกันนะ"
"อา.. ท่านเห็นไหมเจ้ามดนั่นกำลังเดินเพื่อที่จะไปยังหยดน้ำผึ้งที่ติดอยู่ที่ปลายกิ่งไม้ของเรานี่"
เมื่อมดขาเป๋ ตัวนั้นเดินไปจนเกือบจะถึงน้ำผึ้ง ทันใดนั้นมันก็ต้องพบกับความผิดหวัง(กินแห้ว) เมื่อฤาษีได้หยิบกิ่งไม้โยกไปวางไว้อีกด้านหนึ่งซึ่งก็ห่างออกไปประมาณสองสามศอกเช่นเดิม
พระอาจารย์ฤาษีทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ายจากทางซ้ายไปวางไว้ทางขวา ครั้นเมื่อมดขาเป๋จอมอึดและอดโซเดินไปใกล้ๆเพื่อจะได้ลิ้มรสน้ำผึ้ง พระอาจารย์ก็ย้ายกิ่งไม้ไปวางทางด้านเหนือ จากเหนือไปใต้ ซ้ายทีขวาบ้าง ท่านทำอยู่อย่างนี้จนใกล้พลบคล่ำ พระฤาษีผู้เป็นอาจารย์ก็กล่าวกับลูกศิษย์ว่า
"ท่านเห็นอะไรจากมดขาเป๋ตัวนี้ไหม แม้ว่าร่างกายของมันจะพิกลพิการ เดินเหินไม่สะดวกสบายเหมือนเช่นเราๆท่านๆ มันหิวโซและแถมมันก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า ไอ้หยดน้ำผึ้งที่ติดอยู่ที่ปลายกิ่งไม้อันนี้น่ะ มันจะได้กินหรือเปล่าหรือว่ามันจะได้กินตอนไหน แต่กระนั้นมันก็ยังพยายามเดินลากขาของมันไปเรื่อยๆไม่หยุดหย่อนท้อแท้หรือถอยหลังเลยสักก้าวเดียว"
"ก็แล้วท่านทั้งหลายนั้นเล่า ท่านมีความเพียรพยายามเท่าไรกันหรือ ขอท่านจงดูมดตัวนี้ไว้เป็นตัวอย่าง(Case study) แม้มันจะมีขาที่ง่อยเปลี๊ย มันก็ยังมีความเพียรพยายามอย่างมากมายเกินกว่าที่สังขารมันจะอำนวยให้(Support) แต่มันต้องเพียรต่อไป ต่อสู้ต่อไปในทุกๆวัน ทั้งในวันนี้และวันต่อๆไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่"
จบ (The End)
ต่อมาวันหนึ่ง บรรดาฤาษีผู้เป็นลูกศิษย์(Disciples)ทั้งหลายก็ได้เดินทางเข้าพบกับพระอาจารย์ ณ บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ฤาษีตนหนึ่งจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
"พระอาจารย์ เราต่างเข้ามาอยู่ในป่าแห่งนี้เพื่อค้นหาความหลุดพ้นกันเป็นเวลานานนับหลายๆปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเราจะพบหนทางแห่งความสว่างของการหลุดพ้นใดๆเลย"
"ดังนั้นที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเข้ามาพบพระอาจารย์ในวันนี้ ก็เพื่อจะบอกกับท่านว่า พวกข้าพเจ้าทั้งหมดนี้อยากจะกลับไปสู่บ้านเกิดเมืองนอน(Home town)และใช้ชีวิตเช่นสามัญชนคนปกติทั่วไป(Ordinary Man)จะดีกว่าล่ะกระมังท่าน"
"จงช้าก่อนท่านทั้งหลาย การบำเพ็ญเพียรนั้นต้องใช้เวลาและความอดทนพากเพียรเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตา จับต้องได้ด้วยมือ แต่เราจะรับรู้มันได้ด้วยจิตวิญญาณเท่านั้น"
"ในเมื่อเราได้ตัดสินใจออกมาอยู่ในป่าดงพงไพรด้วยกันเช่นนี้แล้ว ไฉนเลยท่านจะย้อนกลับเข้าไปสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยกิเลสตัญหาอย่างนั้นอีกหรือ"
พระฤาษีกล่าวขอร้องบรรดาลูกศิษย์ให้อยู่ต่อด้วยกันในป่าตามเดิม
"พระอาจารย์โปรดชี้แนะด้วย ก็ในเมื่อท่านกล่าวว่า ต้องใช้ความเพียรพยายาม(Perseverance)จึงจะประสบความสำเร็จ(Success)นั้น ก็พวกข้าพเจ้าทั้งหลายต้องมาอยู่กลางดิน กินกลางป่านานนับหลายขวบปีเช่นนี้ พระอาจารย์ว่าความเพียรเหล่านี้ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดอีกกระนั้นหรือ"
ฤาษีผู้เป็นลูกศิษย์ตนหนึ่งปรารถขึ้นด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง
"เราตอบท่านไม่ได้หรอกว่าความสิ้นสุดแห่งความเพียรนั้นมันอยู่ตรงไหนกัน แต่เราจะพิสูจน์ให้พวกท่านได้ดูกันว่า ความเพียรของมดตัวที่ท่านเห็นอยู่ต่อหน้าเรานี้นั้นมันมีความพยายามมากน้อยเช่นไรกัน"
พระฤาษีกล่าวพลางชี้ไปที่มดขาเป๋ตัวหนึ่งซึ่งกำลังเดินลากขาของมันผ่านมาทางด้านหน้าของฤาษีผู้เป็นอาจารย์พอดี
"เอาหล่ะ จงดูหยดดน้ำผึ้งที่ปลายกิ่งไม้เล็กๆอันนี้ให้ดี เราจะวางมันไว้ทางด้านซ้ายของเจ้ามดขาเป๋ตัวนี้ ซึ่งเราจะเว้นระยะห่างไว้สักประมาณสองศอกก็แล้วกันนะ"
"อา.. ท่านเห็นไหมเจ้ามดนั่นกำลังเดินเพื่อที่จะไปยังหยดน้ำผึ้งที่ติดอยู่ที่ปลายกิ่งไม้ของเรานี่"
เมื่อมดขาเป๋ ตัวนั้นเดินไปจนเกือบจะถึงน้ำผึ้ง ทันใดนั้นมันก็ต้องพบกับความผิดหวัง(กินแห้ว) เมื่อฤาษีได้หยิบกิ่งไม้โยกไปวางไว้อีกด้านหนึ่งซึ่งก็ห่างออกไปประมาณสองสามศอกเช่นเดิม
พระอาจารย์ฤาษีทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ายจากทางซ้ายไปวางไว้ทางขวา ครั้นเมื่อมดขาเป๋จอมอึดและอดโซเดินไปใกล้ๆเพื่อจะได้ลิ้มรสน้ำผึ้ง พระอาจารย์ก็ย้ายกิ่งไม้ไปวางทางด้านเหนือ จากเหนือไปใต้ ซ้ายทีขวาบ้าง ท่านทำอยู่อย่างนี้จนใกล้พลบคล่ำ พระฤาษีผู้เป็นอาจารย์ก็กล่าวกับลูกศิษย์ว่า
"ท่านเห็นอะไรจากมดขาเป๋ตัวนี้ไหม แม้ว่าร่างกายของมันจะพิกลพิการ เดินเหินไม่สะดวกสบายเหมือนเช่นเราๆท่านๆ มันหิวโซและแถมมันก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า ไอ้หยดน้ำผึ้งที่ติดอยู่ที่ปลายกิ่งไม้อันนี้น่ะ มันจะได้กินหรือเปล่าหรือว่ามันจะได้กินตอนไหน แต่กระนั้นมันก็ยังพยายามเดินลากขาของมันไปเรื่อยๆไม่หยุดหย่อนท้อแท้หรือถอยหลังเลยสักก้าวเดียว"
"ก็แล้วท่านทั้งหลายนั้นเล่า ท่านมีความเพียรพยายามเท่าไรกันหรือ ขอท่านจงดูมดตัวนี้ไว้เป็นตัวอย่าง(Case study) แม้มันจะมีขาที่ง่อยเปลี๊ย มันก็ยังมีความเพียรพยายามอย่างมากมายเกินกว่าที่สังขารมันจะอำนวยให้(Support) แต่มันต้องเพียรต่อไป ต่อสู้ต่อไปในทุกๆวัน ทั้งในวันนี้และวันต่อๆไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่"
จบ (The End)
แทบไม่ต้องเสริมอะไรเพิ่มเติมอีกเลย เพราะว่าเรื่องราวทั้งหมดมันมีความหมายและสอนเราอยู่ในบทของมันเอง ถูกต้องไหมครับ
อ่านนิทานเรื่องอื่นๆ
- นิทานสอนใจเรื่อง "สองกบต่างทัศนะ" "2 Frogs with Different Attitude"
- พญาอินทรีย์ฝากฟักกับฝูงลูกเจี๊ยบ An Eegle In A Cutch Of Chicks - นิทาน(ฉัน)แต่งใหม่
- เผยเคล็ดลับ Microsoft Excel
- Book-Hub | Best Seller Book Review
- Learn Thai Free Online [LTFO] | Michael Leng
- Just Sing Along Blog | Song Lyrics In English-Thai Language
- [ExcelTip2Day] Shortcut Trick Solving Methods
- [C+] Cell Phone and Accessory Review
- [1English-1Thai] English – Thai Dictionary Learning Blog
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น